ฟังก์ชั่นการใช้งานโดยทั่วไปของเครื่องทดสอบแบตมีดังนี้
1. Battery test ----การทดสอบสมรรถนะของแบต บอกอายุการใช้งานที่เหลืออยู่เป็น%
ใช้ได้กับแบตทุกมาตรฐาน ได้แก่ US(CCA),IEC, EN, DIN, JIS, etc.
2. Start status test ---- ทดสอบกำลังไฟของแบตขณะสตาร์ทเครื่องยนต์
ซึ่งต้องมีค่าไม่ต่ำกว่า 9.2- 9.6V
3. Charge test ----ทดสอบระบบการชาร์จ
4. Max. Loading test ทดสอบกำลังไฟของแบตขณะมีโหลดเต็มที่ ซึ่งต้องมีค่าไม่ต่ำกว่า 12.8V
คุณสมบัติ
- ตรวจสอบค่าความต้านทานภายใน ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ของแบตนั้นๆ
- ตรวจสอบค่าความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือ CCA ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุด
- ตรวจสอบค่าการชาร์จแบบเรียลไทม์
- ดูสถานะการใช้งานจริงของแบต
ข้อมูลจำเพาะ
1.ใช้ได้กับรถที่ใช้ไฟ12 โวลต์เท่านั้น
2.ใช้ตรวจสอบแบตขนาดต่างๆตามมาตรฐานต่างๆทั่วโลกได้แก่
2.1 ขนาด 100-1700 CCA
2.2 ขนาด 100-1700 JIS
2.3 ขนาด 100-1700 IEC
2.4 ขนาด 100-1000 DIN
2.5 ขนาด 100-1000 EN
3.ใช้งานได้ในย่าน 9- 18 โวลต์
4.อุณหภูมิการใช้งาน -18 ถึง 50 องศาซี
5.อุณหภูมิการจัดเก็บ -18 ถึง 55 องศาซี
คำเตือน
1.ห้ามใช้กับรถยนต์ 24 โวลต์
2.ใช้ได้ไฟฟ้า 9 – 18 โวลต์
3.ใช้กับรถยนต์ 12 โวลต์เท่านั้น
4.ในกรณีเพิ่งทำการชาร์จแบตมาจนเต็ม ก่อนทำการ Test ด้วยเครื่องนี้ ควรทำการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ประมาณ 2-3 นาที เพื่อทำการเคลียร์ Surface Voltage ก่อน
ค่ามาตรฐานทั่วไป
1.ความต้านทานภายในเชลล์แบตเตอร์รี่ ( Int.R ) ควรอยู่ระหว่าง 2 – 15 มิลลิโอห์ม ,
Internal Resistance (IR) ความต้านทานภายใน ,ปกติแบตทียังมีค่า CCA สูงจะมีค่า IR ต่ำ
2.ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่ ต้องอยู่ระหว่าง 9.2 V - 9.6 V
3.เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ไดชาร์ททำงานและค่าแรงดันไฟฟ้า ควรเป็นดังนี้
3.1 ขณะเร่งเครื่อง 3000 rpm + ไม่เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ
ค่าต้องอยู่ระหว่าง 13.3 – 15 V
3.2 ขณะเร่งเครื่อง 2000 rpm + เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกตัว
ค่าต่ำสุดที่วัดได้ ต้องมากกว่า 12.5 V
ค่าสูงสุดที่วัดได้ ต้องมากกว่า 13.5 V
|